
บรรจุภัณฑ์ยุคดิจิทัล
เรื่อง : ผศ.โสมภาณี ศรีสุวรรณ
ในปัจจุบันพฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภคนั้นมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงไปมาก เนื่องจากผู้บริโภคต้องการความสะดวกสบายมากขึ้น ต้องการข้อมูลประกอบการตัดสินใจซื้อสินค้าที่เชื่อถือได้มากขึ้น โดยอาศัย “ตัวช่วย” ในการตัดสินใจเลือกสินค้าที่ตอบสนองความต้องการอย่างครบถ้วน ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลอันหลากหลาย ซึ่งกำลังมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของผู้บริโภคเป็นอย่างมาก และเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าของผู้บริโภคในยุคนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่าสื่อดิจิทัลเหล่านี้เป็นลักษณะของการสื่อสารแบบ Two Way Communication ผู้บริโภคสามารถแชร์ข้อมูลภาพ และวิดีโอ ตลอดจนความคิดเห็นโต้ตอบกับคนอื่นๆได้ทั่วโลกได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ด้วยสัญญาณอินเทอร์เน็ต และอุปกรณ์ดิจิทัล เช่น คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือสมาร์ทโฟน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลจากทั่วโลกได้อย่างง่ายดาย มีการแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับสินค้าจากผู้ที่เคยใช้มาก่อน ทาให้ผู้บริโภคเกิดความรับรู้ และเข้าใจเกี่ยวกับสินค้ามากขึ้น เกิดทัศนคติ และความเชื่อมั่นในสินค้า มีโอกาสเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของสินค้า จึงสามารถตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้นและมั่นใจมากขึ้น

จากการสำรวจพฤติกรรมของผู้บริโภคต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าพบว่า (ภาพที่ 1) “ตัวช่วย” ที่ผู้บริโภคใช้ในการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้านั้น 27% มาจากสื่อโฆษณาทางโทรทัศน์ 31% จากคำแนะนำของพรรคพวกเพื่อนฝูงและสื่อดิจิทัล 37% มาจากบรรจุภัณฑ์ จึงนับว่าบรรจุภัณฑ์ยังคงเป็นสื่อที่ทรงพลังและเป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจซื้อสินค้ามากกว่าสื่ออื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตัดสินใจ ณ จุดขาย และพฤติกรรมการใช้สื่อดิจิทัลของผู้บริโภคในปัจจุบันพบว่าสมาร์ทโฟนหรือโทรศัพท์มือถือกลายเป็นอุปกรณ์ที่ผู้บริโภคใช้เป็น “ตัวช่วย” ในการจับจ่ายซื้อสินค้ามากที่สุดตัวหนึ่ง เนื่องจากพกพาสะดวก เข้าถึงได้ง่าย รวดเร็ว และสามารถรองรับกิจกรรมต่าง ๆ ได้หลากหลาย เช่น (ภาพที่ 2) จากภาพข้างล่างนี้เป็นพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟนของผู้บริโภคในร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา พบว่าส่วนใหญ่ 36% ใช้สมาร์ทโฟนเพื่อสแกนข้อมูลจาก QR code บนบรรจุภัณฑ์เพื่อเข้าถึงข้อมูลของสินค้า ถัดมาคือ 34% search หาคูปองส่วนลดจากสื่อออนไลน์ 24% โพสต์ข้อมูลขึ้นโซเชียลเน็ตเวอร์ค 22% เช็คอินว่ากำลังอยู่ที่ไหน 17% ล็อกอินเพื่อดูโปรโมชั่นของร้าน และอีก 10% ใช้ชำระเงินที่จุดชำระเงิน

อีกทั้งยังพบว่าพฤติกรรมการใช้สื่อโซเชียลมีเดียก่อนการตัดสินใจซื้อสินค้านั้น ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังต้องการความมั่นใจ และข้อมูลของสินค้าจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เช่นคำแนะนำจากเพื่อน หรือรีวิวสินค้าจากบุคคลอื่นๆทางสื่อออนไลน์ (ภาพที่ 3)

ดังนั้นเมื่อพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป บรรจุภัณฑ์ซึ่งยังคงมีบทบาทที่สำคัญต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าของผู้บริโภคก็จำเป็นจะต้องพัฒนา ปรับเปลี่ยน ผสมผสานกับเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคได้โดยตรง และปรับสินค้าหรือบรรจุภัณฑ์ให้โดนใจ ตรงใจกับผู้บริโภค และสื่อสารได้อย่างเหมาะสม โดยพิจารณาจากพฤติกรรมการใช้สื่อ และวิถีชีวิตของผู้บริโภคนั่นเอง ลองมาดูตัวอย่างบรรจุภัณฑ์ต่อไปนี้ว่าเขาตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคดิจิทัลนี้ได้อย่างไร และใช้เทคโนโลยีอะไรบ้างในการสร้างความเชื่อมโยงแบบปฏิสัมพันธ์กับผู้บริโภคนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
SmartLabel™
SmartLabel™ คือเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงรายละเอียดข้อมูลของสินค้าที่สนใจได้เพิ่มเติม ซึ่งมักจะใช้กับสินค้าประเภทอาหาร เครื่องดื่ม ของใช้ในบ้าน สินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง ตลอดจนสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัว โดยผู้บริโภคสามารถจะเข้าไปดูรายละเอียดสินค้าได้หลากหลายช่องทาง ได้แก่ เข้าทางเว็บไซต์ของ SmartLabel™ (www.smartlabel.org) เพื่อค้นหาสินค้านั้นๆ หรือสแกน QR code บนบรรจุภัณฑ์โดยผู้บริโภคสามารถค้นหาข้อมูลได้ด้วยตนเองก่อนทำการซื้อ ขณะอยู่ในร้านหรืออยู่ที่บ้าน ที่ทำงาน ผ่านคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือสมาร์ทโฟน ผู้บริโภคจะได้รับทราบรายละเอียดของสินค้าอย่างละเอียด เช่น ส่วนประกอบ ข้อมูลทางโภชนาการและสารอาหารต่างๆ วิธีการใช้งานหรือบริโภค วิธีการเก็บรักษา ข้อมูลเกี่ยวกับแบรนด์และผู้ผลิต เป็นต้น ในปัจจุบันในสหรัฐอเมริกามีสินค้าหลายชนิดที่ใช้ SmartLabel™ เป็นเครื่องมือในการสื่อสารกับผู้บริโภคบ้างแล้ว โดยเริ่มต้นในปลายปี 2558 และมีแนวโน้มว่าจะใช้กันแพร่หลายมากยิ่งขึ้นในปี 2560


Augmented Reality (AR)
Augmented Reality Technology หรือ AR เป็นเครื่องมือในการสื่อสารสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้บริโภคกับสินค้าผ่านเทคโนโลยีเสมือนจริง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่นำภาพเสมือนมาวางซ้อนทับไว้บนโลกความจริงผ่านอุปกรณ์สื่อสาร เช่น สมาร์ทโฟน โดยนำมาใช้ร่วมกับบรรจุภัณฑ์ ผู้บริโภคสามารถใช้สมาร์ทโฟน Scan ไปที่ฉลากสินค้าหรือบรรจุภัณฑ์ ก็จะได้รับข้อมูลแสดงผลแบบ Realtime กลับมาทันที โดยระบบจะทำการสร้างข้อมูลเพิ่มเติมให้ทั้งในรูปแบบภาพ เสียง หรือการบอกตำแหน่งด้วยระบบ GPS และข้อมูลอื่นๆ เป็นการเพิ่มข้อมูลและรายละเอียดที่เจ้าของสินค้าต้องการนำเสนอให้แก่ผู้บริโภค ทำให้ผู้บริโภคได้รับข้อมูลเชิงลึกเพิ่มขึ้นและสามารถตอบโต้ได้จากบรรจุภัณฑ์ที่เห็นอยู่ตรงหน้า เพื่อประกอบการตัดสินใจ เช่น สามารถใช้ค้นหาสินค้าออกใหม่ สินค้าที่ได้รับความนิยมสูง กิจกรรมส่งเสริมการจำหน่ายต่างๆในช่วงเวลานั้นๆ สถานที่ในการซื้อสินค้า หรือใช้แสดงสินค้าในรูปแบบสามมิติเพื่อให้ผู้บริโภคเห็นภาพของสินค้าได้อย่างชัดเจนมากขึ้น เพื่อสร้างความน่าสนใจและเข้าใจในตัวสินค้ามากขึ้น หรือแม้แต่นำเสนอเมนูอาหารและส่วนประกอบอาหาร ภาพ Clip วิธีทำอาหาร เกมส์ต่างๆ ตลอดจนสามารถแชร์ต่อให้คนอื่นๆได้ใน Social Media ต่างๆ

ภาพที่ 6 : บรรจุภัณฑ์สำหรับเด็ก เช่น ของเล่นเด็กและขนม (Dairy Milk Chocolate) ใช้เทคโนโลยี AR ให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าได้ด้วยเกมส์และภาพ 3 มิติเสมือนจริง เป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์และให้ความสนุกสนาน ความประทับใจ กระตุ้นให้สนใจ และเกิดการซื้อ
โปรแกรม AR ของค่ายต่าง ๆ นั้นจะให้ผู้บริโภคดาวน์โหลดแอพของตนลงบนสมาร์ทโฟน แล้วนำสมาร์ทโฟนไปจ่อที่ฉลาก หรือกล่องบรรจุภัณฑ์ ก็จะปรากฏข้อมูลหรือภาพ 3 มิติออกมาให้เห็นทันที แอพที่นิยมใช้กันมาก ได้แก่ Blippar ซึ่งมีวิธีการใช้งานที่ง่ายและสะดวกมาก ตัวอย่างเช่นสินค้าต่อไปนี้

ภาพที่ 7 : บรรจุภัณฑ์ซอสมะเขือเทศ Heinz ก็ใช้แอพ Blippar แสดงตัวอย่างเมนูอาหารและวิธีทำในลักษณะของตำราอาหาร 3 มิติ ซึ่งสามารถดาวน์โหลดเมนูจากตำรานี้ โดยจะมีการปรับเมนูใหม่ทุกๆสัปดาห์เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการปรุงอาหารด้วยซอสมะเขือเทศ Heinz แคมเปญนี้ได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดีจากลูกค้ามากกว่า 1,100,000 รายเลยทีเดียว
ภาพที่ 8 : บรรจุภัณฑ์ลิปสติก Max Factor X ใช้แอพ Blippar ให้ผู้บริโภคเข้าถึงรายละเอียดสินค้าได้ ณ จุดขาย โดยผู้บริโภคสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมของสินค้า รวมทั้งรีวิวจากผู้ใช้อื่นๆ ตัวอย่างเฉดสี เคล็ดลับการแต่งหน้า แสดงภาพการใช้งานทั้งก่อนและหลังทาลิปสติก ตลอดจนจูงใจด้วย voucher เพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อ





Near-Field Communication (NFC)
Near-Field Communication หรือ NFC เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการรับ-ส่งข้อมูลแบบไร้สายระยะสั้นไม่เกิน 4 เซนติเมตรในการรับ-ส่งและแลกเปลี่ยนข้อมูล โดยไม่ต้องเชื่อมต่อหรือสัมผัสกัน ปัจจุบันสมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ก็มี NFC ในตัวและเริ่มใช้กันอย่างแพร่หลายมากขึ้น ผู้ใช้งานเพียงแค่ต้องเอาอุปกรณ์ NFC มาใกล้กันก็จะสามารถรับ-ส่ง หรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ และสามารถใช้งานได้หลากหลายรูปแบบมากขึ้น เช่น การเงินการธนาคาร บัตรประจำตัวพนักงาน บัตรโดยสารรถไฟฟ้า BTS การซื้อ และชำระสินค้าต่างๆ เนื่องจากใช้งานสะดวกเพียงแค่การเอาสมาร์ทโฟนไปแตะเครื่องรับสัญญาณต่างๆ ซึ่งการทำงานที่รองรับการแตะกันแบบนี้ ทำให้ NFC ถูกนำไปประยุกต์ใช้งานกับหลายวงการรวมทั้งบรรจุภัณฑ์ด้วย ดังตัวอย่างต่อไปนี้

ภาพที่ 13 : ขวดเครื่องเทศ WOW ที่ใช้เทคโนโลยี NFC ฝังไว้ในฉลากสินค้า ทำให้ผู้บริโภคสามารถรับข้อมูลของสินค้าได้โดยใช้สมาร์ทโฟนมาจ่อใกล้ๆฉลากนั้น ซึ่งก็จะปรากฏตำราการปรุงอาหารที่ใช้เครื่องเทศนั้น ๆ บนจอสมาร์ทโฟนได้ทันที โดยไม่ต้องใช้แอพใด ๆ ช่วย

ภาพที่ 14 : บรรจุภัณฑ์วิสกี้ Johnnie Walker Blue Label นี้ ใช้ฉลาก NFC ร่วมกับ Thinfilm ซึ่งนอกจากจะช่วยให้สื่อสารแบบปฏิสัมพันธ์ได้กับผู้บริโภคแล้ว ยังสามารถป้องกันการปลอมแปลงได้อีกด้วย แผ่น NFC นี้ใช้เทคโนโลยี OpenSense ของ Thinfilm จะฝังข้อมูลเฉพาะของแต่ละขวด ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงหรือก๊อปปี้ได้โดยผู้ไม่หวังดีทั้งหลายในระหว่างจัดจำหน่าย แผ่นนี้จะติดอยู่บนตัวขวดบริเวณด้านหลังของฉลาก ผู้บริโภคเพียงแต่นำสมาร์ทโฟนมาใกล้ ๆ ฉลาก ก็จะได้รับทราบข้อมูลของสินค้า ตำราเครื่องดื่ม cocktail โปรโมชั่น และรายการพิเศษต่าง ๆ ซึ่งเมื่อผู้บริโภคเปิดขวดแล้วจะพบข้อมูลดิจิทัลต่าง ๆ ของสินค้าเพิ่มเติมขึ้นอีกมาก เมื่อเทียบกับตอนที่ใช้สมาร์ทโฟนสัมผัสในขณะกำลังซื้อสินค้าในร้านค้า

ภาพที่ 15 : Frito-Lay ออกบรรจุภัณฑ์ขนมอบกรอบ Tostitos ในรูปแบบใหม่ จัดทำเป็นแคมเปญ “เมาไม่ขับ-Don’t Drink and Drive” สำหรับโครงการ Mothers Against Drunk Driving (MADD) ที่มุ่งเน้นไปที่กลุ่มคนที่จะไปชมการแข่งขัน Super Bowl เท่านั้น เนื่องจากในวันแข่งขัน Super Bowl ในแต่ละปีนั้นจะเป็นวันที่มีสถิติของอุบัติเหตุจากการเมาแล้วขับมากที่สุด บรรจุภัณฑ์ Tortitos ถุงนี้เรียกว่า Party Safe Bag ซึ่งบริเวณด้านหน้าของถุงจะมีไฟ LED และ sensor รูปวงแหวน การใช้งานต้องกดปุ่มด้านบนไฟในวงแหวนจะหมุน ๆ ต้องรอให้สัญญานไฟหยุดหมุน และเป็นสีฟ้า จากนั้นจึงเป่าไปที่วงแหวนสีฟ้านั้น หากไม่มีแอลกอฮอล์ไฟก็จะเปลี่ยนเป็นสีเขียว แต่หากมีแอลกอฮอล์ไฟก็จะเปลี่ยนเป็นไฟกระพริบสีแดงรูปพวงมาลัยรถพร้อมคำเตือนว่า “Don’t Drink And Drive” นับว่าเป็นการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยกระตุ้นคนให้ตระหนักถึงอุบัติภัยได้เป็นอย่างดี และมีความระมัดระวังมากขึ้น
ที่มาของภาพและข้อมูล
www.packagingnews.co.uk, www.packagingoftheworld.com, www.packagingdigest.com, www.thenextweb.com, www.blippar.com, www.smartlabel.org
#ThaiPDA #SmartPackaging #DigitalPackaging #PackageDesign
